กองทุนรวมแต่ละประเภทมีระดับความเสี่ยงและผลตอบแทน(ที่คาดว่าจะได้รับ)ต่างกัน ซึ่งความเสี่ยงของแต่ละกองทุน ขึ้นอยู่กับว่ากองทุนนั้นนำเงินไปลงทุนในอะไร ดังนั้น ก่อนตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวม เราจะต้องทำแบบประเมิน Suitability Test เพราะจะทำให้รู้ว่าความสามารถรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน และรู้ว่าเหมาะกับการลงทุนในกองทุนรวมแบบไหน (ซึ่งสมัยนี้ ตอนไปซื้อเขาจะบังคับให้ทำอยู่แล้ว แม้เราจะขี้เกียจทำก็ตาม และถ้าซื้อกองทุนที่เกินความเสี่ยงที่รับได้ ต้องเซ็นต์ยินยอมด้วย)
กองทุนรวมมีนโยบายการลงทุนเป็นสิบ ๆ แบบ ต้องแน่ใจว่ากองทุนที่กำลังจะเลือกตรงใจเราจริงๆ
– ถ้าต้องการผลตอบแทนค่อนข้างสูง และรับความเสี่ยงได้สูง แนะนำกองทุนรวมหุ้น ซึ่ง บลจ. แต่ละแห่งอาจมีจุดขายแตกต่างกันไป บางกองทุนลงทุนในหุ้นเต็มที่ตลอดเวลา บางกองทุนลงทุนเฉพาะหุ้นบริษัทใหญ่ๆ 50 อันดับแรก 30 อันดับแรก บางกองทุนเน้นลงทุนหุ้นเฉพาะกลุ่มหรือหุ้นที่จ่ายปันผล เป็นต้น
– ถ้าไม่ชอบหุ้น หรือรับความเสี่ยงได้น้อย แนะนำกองทุนรวมตราสารหนี้ ที่ลงทุนเฉพาะในพันธบัตร หรือตราสารหนี้ เช่น หุ้นกู้ ตั๋วแลกเงิน ตั๋วสัญญาใช้เงิน เป็นต้น
– ถ้าต้องการให้เงินต้นไม่สูญหายแม้แต่แดงเดียว แนะนำกองทุนรวมคุ้มครองเงินต้น 100% หรือกองทุนรวมมีประกัน ซึ่งรับประกันว่าเงินอยู่ครบ แต่บางกองทุนอาจมีเงื่อนไขว่าคุ้มครองเงินต้นแค่ 80% หรือรับประกันแค่ 90% เป็นต้น ต้องดูดีๆ
– นอกจากนี้ยังมีกองทุนรวม ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ เช่น กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ที่ส่งเสริมการออมเพื่อวัยเกษียณ หรือกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ซึ่งส่งเสริมการลงทุนระยะยาวในหุ้นโดยกองทุนทั้งสองประเภทนี้ จะได้รับสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีด้วยหากปฏิบัติตามเงื่อนไขการลงทุน (มนุษย์เงินเดือนมืออาชีพ จะรู้จักกันดี)
และถึงแม้ว่าจะเลือกลงทุนในกองทุนรวมที่เหมาะสมกับตัวเองแล้ว เราก็ควรกระจายความเสี่ยงโดยการจัดสรรเงินบางส่วนไปลงทุนกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนอื่นๆ ด้วย เช่น หากลงทุนในกองทุนรวมหุ้น เมื่อตลาดหุ้นอยู่ในช่วงขาลง ก็อาจได้ผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนอื่นมาทดแทนบ้าง พอให้มีแรงต่อสู้ชีวิตต่อไป ^^
ขอบคุณครับ
Comments are closed.