SSF กองพิเศษ ใครบ้างควรซื้อ?

0
84399

ตลาดหุ้นไทยปัจจุบันปรับตัวลดลงกว่า 20% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว หรือกว่า 30% เมื่อเทียบกับจุดสูงสุด (1,838.96 จุด ณ 24 ม.ค. 61) ค่า P/E ตลาดเดือน มี.ค.63 ลดลงมาอยู่ที่ 13.04 ถือว่าหุ้นไทยตอนนี้ถูกสุดในรอบ 8 ปี เป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนระยะยาวในการทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานดี ที่น่าจะมีโอกาสฟื้นตัวหลังจากวิฤตผ่านพ้นไป

และหลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าการลงทุนในหุ้นช่วงนี้ยังมี “ส่วนลดพิเศษ” ให้ด้วย สำหรับผู้ที่เสียภาษี โดยการเลือกลงทุนผ่าน SSFX หรือ “Super Savings Fund กองพิเศษ” กองทุนเพื่อการออมระยะยาว ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นไทยไม่น้อยกว่า 65% ซึ่งสามารถลดหย่อนภาษีได้เพิ่มจากวงเงิน SSF ปกติอีก 200,000 บาท ที่เปิดขายแป๊ปเดียว ในช่วง 1 เมษายน – 30 มิถุนายน 2563 นี้เท่านั้น

การประหยัดภาษีได้ ก็เหมือนมีแต้มต่อในการซื้อหุ้นได้ถูกกว่าคนอื่น เช่น เม่าศรี ณ ดอยสูง ได้เงินเดือน 120,000 บาทต่อเดือน เสียภาษีฐาน 25% ลงทุนใน SSFX กองนึง 200,000 บาท ที่ NAV 10 บาทต่อหน่วย ได้ 20,000 หน่วย ต่อมาได้ภาษีคืน 50,000 บาท ก็เหมือนใช้เงินลงทุนจริงแค่ 150,000 บาท เฉลี่ยต้นทุน NAV เหลือแค่ 7.5 บาทต่อหน่วย เมื่อเทียบกับการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นธรรมดา

เห็นอิทธิฤทธิ์ของ SSFX แล้วใช่มั้ย แต่ SSFX มีเงื่อนไขที่เน้นลงทุนในหุ้น และต้องถือถึง 10 ปี จึงไม่ได้เหมาะกับทุกคนหรอกนะจ๊ะ แล้วใครที่ควรซื้อ SSFX บ้าง พี่เม่ามองว่ามี 3 กลุ่มดังนี้

1. มนุษย์เงินเดือนที่ได้เงินเดือนเกิน 75,000 บาท (หรือเสียภาษีฐาน 20% ขึ้นไป)
ด้วยเงื่อนไขของ SSFX คือถือหุ้น 10 ปี ถึงจะใช้เวลาช่วยในการลดความเสี่ยงได้ แต่ก็ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น อาจจะมีไวรัสซอมบี้เกิดขึ้นก็ได้ จึงต้องชั่งน้ำหนักนิดนึงว่าภาษีที่ลดได้คุ้มกับความเสี่ยงหรือไม่
โดยส่วนตัวมองว่า…
– ฐานภาษี 0% – 5% (หรือเงินเดือนไม่เกิน 40,000 บาท) กลุ่มนี้ยังได้ประโยชน์จากการลดหย่อนภาษีไม่มาก ไม่จำเป็นต้องซื้อ SSFX ก็ได้ อาจเลือกลงทุนในกองทุนรวมหุ้นธรรมดาที่สามารถซื้อขายได้ตลอดโดยไม่ต้องถูกจำกัด
– ฐานภาษี 10% – 15% (หรือเงินเดือนเฉลี่ย 40,000 – 75,000 บาท) แล้วแต่ เหมือนซื้อหุ้นแล้วได้ส่วนลด 10-15% ถ้าคิดว่ารับความเสี่ยงได้ก็จัดไป อาจเลือกลงทุนใน SSFX กองที่เน้นลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานหรือ REITs ที่ราคาไม่ผันผวนมากนัก
– ฐานภาษี 20% – 25% (หรือเงินเดือนเฉลี่ย> 75,000 บาท) ควรซื้อ เหมือนซื้อหุ้นแล้วได้ส่วนลด 20% -25% มีความเย้ายวนพอประมาณ
– ฐานภาษี 30% ขึ้นไป (หรือเงินเดือนเฉลี่ย >200,000 บาท) แนะนำซื้อ เหมือนซื้อหุ้นแล้วได้ส่วนลด 30% ขึ้นไป โปรแรงขนาดนี้ซื้อเถอะ

2. ผู้ที่ซื้อ RMF อยู่แล้ว

– ถ้าอายุต่ำกว่า 45 ปี ปีนี้ควรแบ่งเงินจาก RMF มาลงทุนใน SSFX บางส่วน เพราะ SSFX ใช้ระยะเวลาถือครองเพียง 10 ปี และมีนโยบายจ่ายปันผลในบางกองเพิ่มโอกาสรับเงินปันผลระหว่างการลงทุน ในขณะที่ RMF ต้องถือไปจนถึงอายุ 55 ปี และไม่มีนโยบายจ่ายปันผล

– ถ้าอายุเกิน 45 ปี ซื้อ RMF เหมือนเดิมน่าจะได้ประโยชน์ด้านเวลามากกว่าเพราะ RMF สามารถขายได้เมื่ออายุครบ 55 ปี และถือติดต่อกัน 5 ปี แต่ถ้าอยากได้ปันผลก็อาจเลือกลงทุนใน SSFX กองที่มีนโยบายปันผล แล้วยอมถือยาวขึ้นอีกหน่อย ก็แล้วแต่ชอบจ้า หรือถ้าซื้อ RMF เต็มสิทธิ์แล้ว แต่อยากได้สิทธิ์ลดหย่อนเพิ่มเติมอีก 200,000 บาท ก็สามารถพิจารณาซื้อ SSFX ได้เพิ่มเติมนะเพราะวงเงินลดหย่อนของ SSFX แยกออกมาต่างหากจากสิทธิ์ลดหย่อนอื่นๆ

3. ผู้ที่มีรายได้พิเศษเฉพาะในปีนี้
สำหรับผู้ที่มีรายได้ไม่แน่นอน แต่ปีนี้มีรายได้เยอะ และต้องการการลดหย่อนภาษีแบบไม่ผูกมัด สามารถเลือกลงทุนใน SSFX แทน RMF ได้ ( เพราะ RMF ถ้าเริ่มซื้อแล้วต้องซื้อต่อเนื่องทุกปีจนกว่าจะอายุครบ 55 ปี ในขณะที่ SSFX ซื้อเฉพาะปีที่ต้องการลดหย่อน)
คนทั้ง 3 กลุ่มตรงกับตัวเองกันหรือเปล่า ถ้าตรงก็ต้องรีบไปศึกษากองทุนที่ถูกใจกันได้แล้วนะเพราะ SSFX ลงทุนได้ถึงแค่ มิ.ย. นี้เท่านั้น และไม่ว่าจะวางแผนซื้อครั้งเดียว หรือทยอยซื้อแบบ DCA เงื่อนไขการลงทุนใน SSFX คือต้องถือ 10 ปี วันชนวันเป๊ะๆ พี่เม่าแนะนำให้ขายหลัง 1 ก.ค. 2573 พร้อมกันทุกกอง เพื่อป้องกันการขายผิดเงื่อนไขนะจ๊ะ

สำหรับผู้ที่สนใจลงทุน SETTRADE รวบรวม SSFX ทุกกองมาเปรียบเทียบไว้ให้แล้ว https://setga.page.link/9CiwcNkyYZ3LXpR69

และก่อนตัดสินใจลงทุน ขอฝากเหมือนเดิมคือการลงทุนมีความเสี่ยง ท่ามกลางภาวะวิกฤตครั้งนี้ที่ไม่รู้จะยาวนานแค่ไหน ต้องบริหารกระแสเงินสดให้ดีด้วยนะจ๊ะ พี่เม่าเป็นห่วง ?