เปิดเส้นทาง KARMART 15 ปี กับกลยุทธ์ มุ่งสู่ยอดขาย 3,250 ล้านบาท

0
385

KARMART เจ้าแห่งเครื่องสำอางของไทย ได้เดินทางมาสู่ปีที่ 15 แล้ว พร้อมจัดงานเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่

จากจุดเริ่มต้นของธุรกิจเครื่องสำอางที่มีรายได้แค่หลักร้อยล้านบาทเมื่อ 15 ปีที่แล้ว
สู่ยอดขายกว่า 3,000 ล้านบาทในปีนี้ และตั้งเป้าว่าจะเป็น 4,000 ล้านบาทในปีหน้า

ทว่าการเติบโตอย่างก้าวกระโดดที่เราได้เห็นในวันนี้ มีเบื้องหลังที่เต็มไปด้วยการล้มลุกคลุกคลานและการเปลี่ยนแปลงมากมายบนเส้นทางของธุรกิจ

และรู้หรือไม่ว่า KARMART นั้นไม่ได้มีจุดเริ่มต้นมาจากธุรกิจความงาม..

ย้อนกลับไป เมื่อ 30 ปีที่แล้ว บริษัทได้เข้าตลาดหลักทรัพย์เป็นครั้งแรก ในชื่อของบริษัท Distar ซึ่งทำธุรกิจ เกี่ยวกับเครื่องใช้ไฟฟ้า

หลังจากดำเนินธุรกิจมาได้ไม่นาน ก็มาเจอกับวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 จนทำให้ Distar พบกับการขาดทุนครั้งใหญ่

แต่ทางผู้บริหารก็ไม่ได้ยอมแพ้ ลองปรับเปลี่ยนและหาโอกาสจากธุรกิจอื่น ๆ หลายรูปแบบ อย่างเช่น รถ NGV, เสื้อผ้า และเครื่องสำอาง เป็นต้น
ด้วยความที่ทางผู้บริหารก็ยังไม่รู้ว่า ธุรกิจแบบไหนจะไปได้ดี ก็เลยลองผิดลองถูกอยู่ช่วงหนึ่ง

จนได้พบกับโอกาสบางอย่าง ที่นำไปสู่จุดเริ่มต้นของ KARMART

ในช่วงปี 2552 ขณะที่บริษัทยังทำธุรกิจรถ NGV ก็เกิดไอเดียว่า เมื่อลูกค้าซื้อรถ NGV ไปแล้ว ก็สามารถนำเครื่องสำอางไปขายบนรถได้ เหมือนรถที่วิ่งเร่ขายตามซอยบ้าน อย่างน้อยก็ได้สร้างอาชีพให้กับลูกค้าที่ซื้อรถไปได้อีกทางด้วย

ซึ่งก็เป็นที่มาของชื่อบริษัท KARMART ที่ต้องการให้พ้องเสียงกับคำว่า “Car” หมายถึงรถ และ “Mart” มาจาก Minimart รวมกัน

เมื่อเวลาผ่านไปก็พบว่าธุรกิจเครื่องสำอางดูจะไปได้ดีกว่า เลยเดินหน้าธุรกิจนำเข้าเครื่องสำอางจากต่างประเทศมาขายแบบจริงจัง และในปี 2554 ได้เปลี่ยนชื่อบริษัท จาก Distar มาเป็น KARMART อย่างเป็นทางการ และตัดสินใจมาทำธุรกิจเครื่องสำอางอย่างเต็มตัว

KARMART ได้เริ่มต้นเส้นทางในอุตสาหกรรมความงามด้วยการปั้นแบรนด์ที่เข้าถึงง่ายและครองใจผู้บริโภค อย่าง Cathy Doll, Baby Bright, Skynlab, Jejuvita, Boya และ Reunrom
แบรนด์เหล่านี้ไม่เพียงแค่เป็นตัวชูโรงที่สร้างชื่อเสียงให้กับ KARMART แต่ยังเป็นรากฐานสำคัญที่ผลักดันให้บริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ด้วยการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง ทำให้มียอดขายเติบโตจากปี 2552 ที่มียอดขายเพียงหลักร้อยล้านบาท จนมาในปี 2566 ที่มียอดขายสูงกว่า 2,400 ล้านบาท

ส่วนในปี 2567 นี้ ก็คาดการณ์ว่ายอดขายจะไปจบที่ 3,250 ล้านบาท
และตั้งเป้าหมายว่าในปี 2568 ยอดขายจะไปแตะระดับ 4,000 ล้านบาทได้

การเติบโตของ KARMART อย่างต่อเนื่องที่ผ่านมา เป็นผลมาจากกลยุทธ์ที่สำคัญทั้ง 4 ข้อนี้

1. สินค้าต้องมีคุณภาพที่ดีในราคาที่จับต้องได้ เพื่อครองใจผู้บริโภคในทุกระดับ เพื่อที่ลูกค้าจะเกิดการซื้อซํ้าและบอกต่อ

2. มีช่องทางการจำหน่ายที่หลากหลาย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้ KARMART สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ในทุกพื้นที่และทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยมี 4 ช่องทาง คือ

– Traditional Trade หรือที่เข้าใจง่าย ๆ ว่า “ตามร้านค้าทั่วไป” อย่างร้านสะดวกซื้อ, ร้านขายของชำ และร้านค้าท้องถิ่น ที่ถือว่าครอบคลุมแทบจะทุกพื้นที่ในประเทศไทยเลยก็ว่าได้ ไม่เว้นแม้แต่ร้านค้าตามตะเข็บชายแดน

– Modern Trade หรือการจัดจำหน่ายผ่านห้างสรรพสินค้า, ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ อย่าง Convenience Store, BEAUTRIUM, EVEANDBOY และ Watsons เป็นต้น

– KARMART Shop จะเพิ่มเป็น 20 สาขา ที่เป็นสาขาของบริษัทโดยตรงเลย

– E-Commerce หรือ ช่องทางออนไลน์ ที่ถือว่าตอบโจทย์กับพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคนี้ แถมยังทำให้แบรนด์เข้าถึงลูกค้าได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

3. การสร้างแบรนด์ใหม่ ๆ ให้มียอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้แบรนด์แข็งแกร่งขึ้น สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ทุกกลุ่ม เพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกันได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นเมกอัป สกินแคร์ หรือไลฟ์สไตล์

อย่างงานฉลองครบรอบ 15 ปี KARMART ในครั้งนี้ ก็มีการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ถึง 7 แบรนด์ คือ Lipit., HAIR IT, intimi, Dr.NIKS, ACCA by Dr.DSP, Catchy Nesty และ Get Skin

สุดท้ายข้อ 4. คือการใช้กลยุทธ์ทางการตลาดที่ทันสมัย เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด โดยเฉพาะการใช้ อินฟลูเอนเซอร์ ซึ่งกลายเป็นกำลังสำคัญที่ทำให้สินค้าเป็นที่นิยมในวงกว้าง ที่เปรียบเสมือนสะพานที่เชื่อมระหว่างสินค้ากับลูกค้าได้เป็นอย่างดี

ยิ่งไปกว่านั้น ในยุคที่คนเริ่มดูแลตัวเองมากขึ้น ทำให้ทาง KARMART ต้องทำงานร่วมกับพาร์ตเนอร์ที่เป็นแพทย์ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในผลิตภัณฑ์เวชสำอางโดยตรง อย่างแบรนด์ Dr.NIKS และ ACCA by Dr.DSP ที่แบรนด์เหล่านี้จะเริ่มไปจับกลุ่มลูกค้าระดับพรีเมียมกลุ่มใหม่อีกด้วย

เราจะเห็นได้ว่าการวางกลยุทธ์ทั้ง 4 ข้อนี้ ช่วยให้ KARMART เติบโตอย่างก้าวกระโดดได้เป็นอย่างดี เพราะว่าผู้บริหารมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล พร้อมที่จะปรับเปลี่ยนและพัฒนาธุรกิจไปสู่สิ่งใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา

ตอนนี้สินค้าของ KARMART ได้ถูกวางจำหน่ายไปยัง 20 ประเทศทั่วโลก และกำลังจะบุกไปตลาดอเมริกาอย่างเต็มตัวด้วยนะ

จากผลประกอบการที่เติบโตอย่างต่อเนื่องตลอด 15 ปีที่ผ่านมา ทำให้มูลค่าบริษัทก็เติบโตตามไปด้วย

ย้อนกลับไปในปี 2552 ที่บริษัทได้เริ่มเปลี่ยนมาจับธุรกิจเครื่องสำอางอย่างจริงจัง พบว่า ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2552 ราคาหุ้น KAMART อยู่ที่ 0.34 บาท

ถ้าเทียบกับราคาในวันนี้ ที่ 11.30 บาท ก็จะคิดเป็นผลตอบแทนถึง +3,323%
หรือจะเรียกว่า “หุ้น 33 เด้ง” ก็ได้

นอกจากมีสินค้าและกลยุทธ์ที่ดีแล้ว ธรรมาภิบาล ความโปร่งใส ชัดเจนและตรงไปตรงมาของผู้บริหาร ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ KARMART เติบโตมาได้อย่างยั่งยืน จนได้รับความไว้วางใจจากทั้งนักลงทุนและผู้บริโภค ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

จนก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้นำอุตสาหกรรมความงามได้อย่างในวันนี้

สำหรับนักลงทุนอย่างเรา ก็คงต้องติดตามว่าอนาคตของบริษัทและหุ้น KAMART จะเติบโตได้อีกกี่เด้งจากปัจจุบัน..

#MAOxKARMART

Disclaimer : การ์ตูนตอนนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับธุรกิจเท่านั้น ผู้จัดทำมิได้ให้ข้อมูลเรื่องมูลค่าของหลักทรัพย์และช่วงเวลาที่เหมาะสมในการลงทุนแต่ประการใด ผู้จัดทำมิได้ให้คำแนะนำในการเสนอซื้อหรือขาย หรือส่งเสริมให้มีการซื้อขายหลักทรัพย์ รวมทั้งการซื้อขายกับผู้จัดทำ ข้อมูลที่ปรากฏในการ์ตูนนำมาจากร่างหนังสือชี้ชวน งบการเงิน และเว็บไซต์ของบริษัทฯ ที่เผยแพร่ต่อสาธารณชนแล้วทั้งสิ้น การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน ราคาหลักทรัพย์เมื่อเข้าซื้อขายในตลาดรองเป็นไปตามอุปสงค์และอุปทานของตลาดฯ ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม คำนวณราคาหลักทรัพย์และช่วงเวลาที่เหมาะสมในการลงทุนด้วยตนเอง ก่อนการตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง