Keywords: แหลมฉบังเฟส3, ท่าเรือสีเขียวแห่งใหม่ของภูมิภาค , ท่าเรือแหลมฉบังเฟส3
พี่เม่ามีโอกาสได้ไปศึกษาดูงานท่าเรือสีเขียวที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเนเธอแลนด์มา อย่างล้ำ!
ต้องเล่าก่อนว่าสมัยนี้คนตื่นตัวเรื่องสิ่งแวดล้อม บริษัทต่างๆ ก็พยายามผลักดันนโยบายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือ Net Zero Emissions กันรัวๆ ซึ่งท่าเรือสีเขียวก็เป็นหนึ่งสิ่งที่บริษัททั่วโลกต้องการใช้บริการมากขึ้น เพื่อจะได้ทำมาหากินกันได้อย่างยั่งยืน
Port of Rotterdam (PoR) ท่าเรือที่เก่าแก่ที่สุดของทวีปยุโรป ขนส่งทั้งสินค้าทั่วไป สินค้าเทกอง ตู้คอนเทนเนอร์ โดยเฉพาะการขนส่งพลังงานผ่านท่าเรือนี้ คิดเป็น 13% ของความต้องการพลังงานทั่วยุโรปเลยล่ะ จัดเป็นหนึ่งในเส้นเลือดใหญ่ของยุโรป และเป็นต้นแบบของการขนถ่ายและกระจายสินค้าของท่าเรือทั่วโลก
ขึ้นชื่อว่าท่าเรือแห่งเมืองกังหันลม PoR มีการใช้พลังงานหมุนเวียนอย่างจริงจัง โดยเฉพาะพลังงานลม ด้วยสภาพภูมิประเทศที่เอื้ออำนวย แถมท่าเรือติดกับทะเลเหนือ พี่เม่าลองไปยืนกลางแจ้งโดนลมพัดหัวหูปลิวหมด จึงมีกังหันตั้งรับลมตลอดแนว ประมาณร้อยกว่าต้น ซึ่งกังหันลมที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็ตั้งอยู่ที่นี่ด้วย และกำลังพัฒนาโครงการพลังงงานลมนอกชายฝั่ง หรือคือการเอากังหันลมไปตั้งกลางทะเล ที่จะให้ประสิทธิภาพสูงกว่าเดิมไปอีก
ถึงจะเป็นท่าเรือเก่าแก่ แต่เทคโนโลยีสุดล้ำ มีการใช้ระบบอัตโนมัติในการบริหารจัดการคอนเทนเนอร์ต่างๆ รวมถึงเน้นการขนส่งทางราง โดยมีรางรถไฟเข้าถึงท่าเทียบเรือ สามารถขนส่งสินค้าได้ในปริมาณมากในขณะที่ปลดปล่อยคาร์บอนน้อยกว่าการขนส่งแบบอื่น
แม้อุตสาหกรรมบริเวณรอบท่าเรือจะมีโรงกลั่นและโรงงงานปิโตรเคมีหลายแห่ง แต่ปัจจุบันPoR อยู่ระหว่างการพัฒนาระบบ Carbon Capture & Storage (CCS) อธิบายแบบชาวบ้านๆ คือระบบดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากอุตสาหกรรม แล้วต่อท่อไปฝังลงหลุมใต้ทะเลเหนือ
PoR ประกาศตัวเป็น “ศูนย์กลางด้านพลังงานไฮโดรเจนของทวีปยุโรป” หรือ “Europe’s Hydrogen Hub” ซึ่งไฮโดรเจนจัดเป็นพลังงานสะอาดที่ใช้งานได้หลากหลาย (แต่ตอนนี้อาจจะยังไม่ฮิตเพราะต้นทุนการผลิตยังสูงอยู่) โดยมีแผนผลิตกรีนไฮโดรเจน(การใช้พลังงานสะอาดมาผลิตไฮโดรเจน) แผนพัฒนาท่าเรือขนส่งแอมโมเนีย (ไฮโดรเจนที่แปรรูปเพื่อให้ง่ายต่อการขนส่ง) การพัฒนาท่อขนส่งไฮโดรเจน ฯลฯ
PoR จึงถือเป็น Green Port ต้นแบบที่ทั่วโลกต่างมาดูงานกัน
ประเทศไทยเองก็กำลังจะมี Green Port คล้ายๆ กันนี้เหมือนกันนะ นั่นคือ “ท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3”
“ท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3” จะเป็นท่าเรือน้ำลึกขนาดใหญ่ มีศักยภาพเป็นท่าเรือหลักของภูมิภาค สามารถรองรับเรือบรรทุกสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลกหรือที่เรียกว่า “เรือแม่” ได้ เพิ่มขีดความสามารถในการรองรับคอนเทนเนอร์จาก 11 ล้านทีอียูต่อปี เป็น 18 ล้านทีอียูต่อปี และรองรับรถยนต์ได้เพิ่มขึ้นจาก 2 ล้านคันเป็น 3 ล้านคันต่อปี รวมถึงมีโครงสร้างพื้นที่ที่รองรับการขนส่งหลายรูปแบบ (Multimodal Transportation) ทั้งทาง รถ รถไฟ และเรืออย่างครบวงจร ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการนำเข้าและส่งออกได้มากขึ้นกว่า 50% ต่อปี
“ท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3” มีเป้าหมายสู่การเป็น “ท่าเรือสีเขียว” มีการใช้พลังงานสะอาดและระบบจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างปลายปีนี้ และเริ่มเปิดดำเนินการได้ในปี พ.ศ. 2568
โดย “ท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3” มีแนวทางพัฒนาดังนี้
- การใช้พลังงานไฟฟ้า สำหรับอุปกรณ์เครื่องจักรภายในท่า เช่น เครนไฟฟ้า แคร่ไฟฟ้า หุ่นยนต์อัตโนมัติ
- การใช้แบตเตอรี่สำหรับรถบรรทุกไฟฟ้า และ การพัฒนาเทคโนโลยีสับเปลี่ยนแบตเตอร์รี่
- การใช้พลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ รวมถึงพลังงานไฮโดรเจนที่อยู่ในระหว่างการศึกษา
- การเปลี่ยนระบบการขนส่งจากรถบรรทุก เป็นรถไฟและเรือมากขึ้น โดยมีรางรถไฟเข้าไปถึงท่าเทียบเรือ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งทางราง
- การใช้ระบบ IT Intelligence ในการจัดการพลังงานและการจราจรภายในท่า
- การบริหารจัดการของเสีย และรีไซเคิลน้ำ
กลุ่ม ปตท. ได้ลงทุนในส่วนของท่าเทียบเรือ F โดยจัดตั้งบริษัท GPC International Terminal ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนที่ PTT Tank ถือหุ้นในสัดส่วน 30% โดยมูลค่าการลงทุนร่วมกันในส่วนของการพัฒนาโครงสร้างหน้าท่าประมาณ 30,000 ล้านบาท
“ท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3” เป็นหนึ่งในโครงการที่สอดคล้องกับเป้าหมายมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนของไทยภายใน พ.ศ. 2593 และเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ต้องการให้การขนส่งทางทะเลมีการใช้พลังงานสะอาดที่ยั่งยืน ลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นในระยะยาว